พระราชวังแวร์ซายส์ (Château de Versailles)








พระราชวังแวร์ซายส์ (
ภาษาฝรั่งเศส: Château de Versailles) เป็นพระราชวังหลวงแห่งหนึ่งของประเทศฝรั่งเศส ตั้งอยู่ที่เมืองแวร์ซายส์ ซึ่งปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของมหานครปารีส พระราชวังแวร์ซายส์เป็นพระราชวังที่ยิ่งใหญ่และสวยงามแห่งหนึ่งของโลก และนับเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคปัจจุบันด้วย
เดิมนั้น เมืองแวร์ซายส์เป็นเพียงเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่งเท่านั้น มีผู้คนอาศัยอยู่เบาบาง บริเวณส่วนใหญ่เป็นป่าเขา เยี่ยงชนบทอื่น ๆ ของฝรั่งเศส เมื่อ
พระเจ้าหลุยส์ที่ 13 แห่งฝรั่งเศส ยังทรงพระเยาว์ ขณะพระชนมายุได้ 23 พระชันษา ทรงนิยมล่าสัตว์ในป่า และทรงเห็นว่าตำบลแวร์ซายส์น่าจะเหมาะแก่การประทับเพื่อล่าสัตว์ จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระตำหนักขึ้นมาใน พ.ศ. 2167 โดยในช่วงแรกเป็นเพียงกระท่อมเล็กๆ สำหรับพักชั่วคราวเท่านั้น
เมื่อ
พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส แห่งฝรั่งเศส ขึ้นครองบัลลังก์ มีประสงค์ที่จะสร้างพระราชวังแห่งใหม่ เพื่อเป็นศูนย์กลางในการปกครองของพระองค์ จึงเริ่มปรับปรุงพระตำหนักเดิมในปี พ.ศ. 2204 ใช้เงินทั้งหมด 500,000,000 ฟรังก์ คนงาน 30,000 คน และใช้เวลาอยู่ถึง 30 ปีจึงแล้วเสร็จในพ.ศ. 2231 ทุกส่วนทำด้วยหินอ่อนสีขาว เป็นแบบอย่างศิลปกรรมที่งดงามมาก ภาย ในแบ่งออกเป็นห้องๆ เช่น ห้องบรรทม ห้องเสวย ห้องสำราญ ฯลฯ ทุกห้องล้วนมีเครื่องประดับงดงามตระการตาและภาพเขียนที่มีชื่อเสียง
การก่อสร้างพระราชวังแวร์ซายส์แห่งนี้ได้นำเงินมาจากค่าภาษีอากรของราษฎรชาวฝรั่งเศส ต่อมาจึงได้มีกองทัพประชาชนบุกเข้ายึดพระราชวังและจับ
พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 แห่งฝรั่งเศส กับพระนางมารี อองตัวเนต ประหารด้วย "กิโยติน" ในวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2332 ปัจจุบันพระราชวังแวร์ซายส์ยังอยู่ในสภาพดีและเปิดให้ประชาชนเข้าชมได้


ชอร์ช เดอ ลา ตูร์ หรือ จอร์จ เดอ ลา ทัวร์ (Georges de La Tour)

ชอร์ช เดอ ลา ตูร์ หรือ จอร์จ เดอ ลา ทัวร์ (Georges de La Tour)จิตรกรสมัยบาโรกคนสำคัญของประเทศฝรั่งเศสในคริสต์ศตวรรษที่ 17 มีความเชี่ยวชาญทางการเขียนภาพสีน้ำมัน โดยการเน้นการใช้ "ค่าต่างแสง" (Chiaroscuro) หรือการใช้ความตัดกันอย่างชัดเจนของแสงและเงา
'ชอร์ช เดอ ลา ตูร์เกิดที่เมืองวิค เซอร์ เซลล์ในแคว้นลอเรนซึ่งผนวกกับฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1641 ในระหว่างที่เดอ ลา ตูร์ยังมีชีวิตอยู่ จากใบรับศีลจุ่มเดอ ลา ตูร์เป็นลูกของ ฌอง เดอ ลา ตูร์คนอบขนมปังและซิบีลล์ เดอ ลา ตูร์ ชื่อเดิม โมเลียง กล่าวกันว่าซิบีลล์มาจากครอบครัวที่มียศศักดิ์ เดอ ลา ตูร์เป็นลูกคนที่สองในบรรดาพี่น้องเจ็ดคน
เราไม่ทราบรายละเอียดการศึกษาเบื้องต้นของเดอ ลา ตูร์แต่สรุปได้ว่าได้เดินทางไปอิตาลีหรือเนเธอร์แลนด์เมื่อเริ่มงานใหม่ๆ งานของเดอ ลา ตูร์มีลักษณะเป็นบาโรกแบบธรรมชาติของ
คาราวัจโจ แต่เดอ ลา ตูร์คงได้ลักษณะนี้มาจาก “การเขียนแบบคาราวัจโจ” จิตรกรชาวเนเธอร์แลนด์ ตระกูลการเขียนภาพแบบอูเทรคช (Utrecht School) และจิตรกรทางยุโรปตอนเหนือ เดอ ลา ตูร์มักจะเปรียบกับเฮ็นดริค เทอร์บรุกเก็น (Hendrick Terbrugghen)
ในปี ค.ศ. 1617 เดอ ลา ตูร์ก็แต่งงานกับเลอเนิร์ฟ จากครอบครัวขุนนางย่อยๆ และในปี ค.ศ. 1620 ก็ได้สร้างสติวดิโอที่เมืองเล็กๆ ชื่อ ลูเนอวิลล์ ระหว่างนี้เดอ ลา ตูร์ก็เขียนภาพเกี่ยวกับศาสนาและฉากอื่นๆ ในปี ค.ศ. 1638 ก็ได้รับแต่งตั้งในตำแหน่ง “จิตรกรของพระเจ้าแผ่นดิน” (แห่งฝรั่งเศส) นอกจากนั้นเดอ ลา ตูร์ก็ยังทำงานให้ดู๊คแห่งลอเรนระหว่างปี ค.ศ. 1623–1624 แต่ลูกค้าหลักคือชาวเมืองที่มีฐานะทำให้เดอ ลา ตูร์มีฐานะดี ระหว่างปี ค.ศ. 1639–1642 ไม่มีหลักฐานกล่าวถึงเดอ ลา ตูร์ในลูเนอวิลล์ซึ่งอาจจะเป็นเพราะเดอ ลา ตูร์เดินทาง บลันท์มองเห็นว่าลักษณะงานตั้งแต่จุดนี้เริ่มเปลี่ยนไปมีอิทธิพลของ
เจอราร์ด ฟาน โฮนท์ฮอร์สต์ เดอ ลา ตูร์มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการฟื้นฟูศาสนาในลอเรนที่นำโดยนักบวชลัทธิฟรานซิสกัน เดอ ลา ตูร์ๆ จะเขียนภาพจากเรื่องราวศาสนาเป็นส่วนใหญ่แต่ใช้วิธีการวาดภาพของเดอ ลา ตูร์จะเป็นวิธีของศิลปะร่วมสมัย
เดอ ลา ตูร์และภรรยาเสียชืวิตจากโรคระบาดเมื่อปีค.ศ. 1652 เอเทียงลูกชายเป็นลูกศิษย์
ภาพเขียน
งานสมัยต้นของชอร์ช เดอ ลา ตูร์แสดงอิทธิพลของ
คาราวัจโจซึ่งอาจจะได้รับมาจากจิตรกรเนเธอร์แลนด์ร่วมสมัย ภาพ “โกงไพ่” (Le Tricheur) และขอทานทะเลาะกันมาจากผู้ที่เรียกว่า คาราวัจจิสติ และ จาร์ค เบลลานจ (Jacques Bellange) จิตรกรลอเรนด้วยกัน รูปเขียนกลุ่มนี้เชื่อกันว่าเขึยนเมื่อเดอ ลา ตูร์เพิ่งเริ่มเขียนภาพ
เดอ ลา ตูร์มีชื่อเสียงในการเขียนแสงกลางคืนซี่งคาราวัจจิสตินำมาจากคาราวัจโจและเดอ ลา ตูร์วิวัฒนาการขึ้นอีกมากและนำมาใช้ในการเขียนภาพชีวิตร่วมสมัยและศิลปะศาสนา เดอ ลา ตูร์เริ่มเขียนวิธีนี้ราวต้นคริสต์ทศวรรษ 1640 โดยใช้ความตัดกันอย่างชัดเจนของแสงและเงา ที่เรียกว่า “ค่าต่างแสง” (chiaroscuro), องค์ประกอบที่เป็นเรขาคณิต, และการวางรูปแบบที่ง่ายๆ ไม่ซับซ้อน งานของเดอ ลา ตูร์ค่อยวิวัฒนาการมามีลักษณะนิ่ง และ ง่ายขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเป็นการนำคุณค่าของคาราวัจโจมาใช้ซึ่งแตกต่างจากคุณค่าที่ใช้โดย
จูเซพเป เดอ ริเบอรา (Jusepe de Ribera) และ ผู้ใช้ “ค่าต่างแสงหนัก” (Tenebrism) อึกกลุ่มหนึ่ง
เดอ ลา ตูร์มักจะเขียนภาพต่อเนื่องของหัวข้อเดียวกัน (คล้ายวิธีที่
โคลด โมเนท์ใช้) และมีงานเขียนไม่มาก เอเทืยงลูกชายผู้เป็นลูกศิษย์และยากที่จะบอกความแตกต่างของงานเขียนของจิตรกรสองคนนี้เช่นภาพ “การศึกษาของพระแม่มารี” ที่พิพิธภัณฑ์ฟริค, นครนิวยอร์ก, สหรัฐอเมริกา หลังจากเดอ ลา ตูร์เสียชีวิตเมื่อปี ค.ศ. 1652 งานของเดอ ลา ตูร์ก็ลืมกันไปแต่มาพบอีกครั้งโดยเฮอร์มัน ฟอส นักวิชาการชาวเยอรมันเมื่อปี ค.ศ. 1915 และเมื่อมีการแสดงภาพของเดอ ลา ตูร์ที่ปารีสก็ยิ่งทำให้มีผู้สนใจมากขึ้น ในคริสต์ศตวรรษที่ 20 ก็มีการพบภาพเขียนอื่นๆ ของเดอ ลา ตูร์ นอกจากนั้นก็มีการลอกเลียนโดยมืออาชีพอีกมากตามความต้องการของสาธารณะ ลักษณะบางแง่ของเดอ ลา ตูร์ยังเป็นที่ถกเถียงกันในบรรดานักประวัติศาสตร์ศิลปะ

ผลงาน
The Penitent Magdalene

TOURNEW BORNBY


จานโลเรนโซ แบร์นินี (Gian Lorenzo Bernini)

จานโลเรนโซ แบร์นินี (Gian Lorenzo Bernini) เป็นประติมากรและสถาปนิกบาโรกที่มีชื่อเสียงในกรุงโรม เมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 17
ชีวิตระยะแรก
แบร์นินีเกิดในเมืองเนเปิลส์ เป็นบุตรของ
ปิเอโตร แบร์นินี ประติมากรจริตนิยมจากเมืองฟลอเรนซ์ เมื่ออายุ 7 ปี เขาและบิดาได้เดินทางเข้าสู่กรุงโรม ที่กรุงโรมนี้เอง ที่จิตรกรชื่อดังอันนิบาเล คารัคชีและสมเด็จพระสันตะปาปาปอลที่ 5 ได้เล็งเห็นถึงความสามารถของเขา และเบร์นินีได้รับการอุปถัมภ์จากพระคาร์ดินัลสคิปิโอเน บอร์เกเซพระนัดดาของสมเด็จพระสันตะปาปาปอลที่ 5 โดยผลงานในระยะแรกของเขาได้รับแรงบันดาลใจจากรูปสลักกรีกโบราณ
ก้าวขึ้นสู่ประติมากรชื่อดัง
ภายใต้การอุปถัมภ์ของ
พระคาร์ดินัล Borghese แบร์นินีได้มีชื่อเสียงในฐานะประติมากรอย่างรวดเร็ว ในบรรดาผลงานบางชิ้นในระยะแรกที่สร้างให้แด่พระคาร์ดินัล มีเครื่องประดับตกแต่งสวนอย่างเช่น The Goat Amalthea with the Infant Zeus and a Faun และรูปสลักครึ่งตัวแฝงความหมายเชิงเปรียบเทียบอีกมากมาย เช่น Damned Soul และ Blessed Soul เมื่ออายุ 22 ปี เขาได้สร้างรูปสลักครึ่งพระองค์ของสมเด็จพระสันตะปาปาปอลที่ 5 และเขายังมีผลงานรูปสลักแฝงความหมายทางโลกที่จัดรวมอยู่ใน Borghese collection ของ Scipione จัดแสดงที่ Borghese Gallery ซึ่งรวมเอาผลงานชิ้นเอกดังต่อไปนี้
Aeneas, Anchises, and Ascanius (พ.ศ. 2162) เป็นรูปสลักจำลองจากภาพปูนเปียกของ
ราฟาเอล แสดงช่วงอายุขัยของเพศชาย 3 ช่วงจากหลายมุมมอง และสะท้อนให้เห็นชั่วขณะที่บุตรชายได้รับสืบทอดทักษะจากบิดา
The Rape of Proserpina (พ.ศ. 2164-2165)
Apollo and Daphne (พ.ศ. 2165-2168)
David (พ.ศ. 2166-2167)
สถาปัตยกรรม
ผลงานทางสถาปัตยกรรมของแบร์นินีที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ จัตุรัสและแนวเสาระเบียงของ
มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ และยังเป็นผู้ออกแบบอาคารแบบโรมันอีกหลายแห่ง เช่น Palazzo Berberini, Palazzo Ludovisi (ชื่อปัจจุบันคือ Palazzo Montecitorio) และ Palazzo Chigi
ผลงานทางสถาปัตยกรรมชิ้นแรกของแบร์นินีคือ
ซุ้มเซนต์ปีเตอร์เหนือแท่นบูชาในมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ และส่วนด้านหน้าของโบสถ์ Santa Babiana

ผลงาน
Ecstasy of St. Theresa


The Throne of Saint Peter


อาร์เทมิเซีย เจ็นทิเลสชิ (Artemisia Gentileschi)

อาร์เทมิเซีย เจ็นทิเลสชิ (Artemisia Gentileschi) เกิดที่โรมเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม ค.ศ. 1593 เป็นลูกคนแรกของจิตรกร โอราซิโอ เจ็นทิเลสชิ (Orazio Gentileschi) ผู้เป็นจิตรกรคนสำคัญของตระกูลการเขียนแบบคาราวัจโจ อาร์เทมิเซียได้รับการฝึกการเขียนเบื้องต้นภายในเวิร์คช็อพของพ่อ และมีฝีมือดีกว่าน้องชายที่ฝึกงานด้วยกัน ในเมื่อพ่อของอาร์เทมิเซียได้รับอิทธิพลจากคาราวัจโจ เธอเองจึงได้รับอิทธิพลตามไปด้วย และวิธีการเขียนของเธอต่างกับพ่อ
งานชิ้นแรกของอาร์เทมิเซียเขียนเมื่ออายุ 17 ปึ (ซึ่งเป็นที่สงสัยกันว่าได้รับความช่วยเหลือจากพ่อ) คือ “ซูซานนากับผู้สูงอายุ” (Susanna e i Vecchioni) ที่เขียนเมื่อ ปี ค.ศ. 1610 เป็นภาพที่แสดงให้เห็นว่าอาร์เทมิเซียใช้ความเหมือนจริงเช่นคาราวัจโจแต่ก็มิได้ละทิ้งแบบการเขียนของโบโลนยาที่รวมทั้งจิตรกร
อันนิบาเล คารัคชีไปเสียทั้งหมด
ในปี ค.ศ. 1612 แม้ว่าอาร์เทมิเซียจะแสดงความสามารถในการเขียนภาพมาตั้งแต่ต้น แต่สถาบันศิลปะที่มีแต่ศิลปินผู้ชายก็ยังไม่ยอมรับอาร์เทมิเซีย ขณะนั้นพ่อของอาร์เทมิเซียทำงานกับอากอสติโน ทาสซีเพื่อตกแต่งเพดานของคาสิโนเดลลาโรเซภายในวังพาลลารอสพิกลิโอซิ (Pallavicini Rospigliosi Palace) โอราซิโอจึงจ้างช่างเขียนชาวทัสเคนีให้ฝึกลูกสาว ระหว่างที่ฝึกทาสซีก็ข่มขืนอาร์เทมิเซีย แม้ว่าเริ่มแรกทาสซีสัญญาว่าจะแต่งงานกับอาร์เทมิเซียเพื่อรักษาชื่อเสียงแต่ตอนหลังทาสซีก็บิดเบือนจากสัญญา โอราซิโอจึงฟ้องร้องเจ้าหน้าที่
ระหว่าง 7 เดือนที่ฟ้องร้องกัน ก็พบว่าทาสซีมีแผนที่จะฆ่าภรรยา, ข่มขืนน้องภรรยา, และมีแผนที่จะขโมยภาพเขียนของโอราซิโอ ระหว่างนั้นอาร์เทมิเซียเองก็ถูกทรมานเพื่อเป็นการเค้นความจริงและเพื่อป้องกันการแจ้งความเท็จ ซึ่งทางการขณะนั้นเชื่อว่าถ้าผู้ถูกทรมานยังยืนยันเรื่องเดิมก็แปลว่าพูดความจริง เมื่อเสร็จศาลก็ตัดสินให้จำคุกทาสซีปึหนึ่ง การขึ้นศาลครั้งนี้มีผลต่อการต่อสู้เพื่อความเท่าเทียมของสิทธิสตรีในคริสต์ศตวรรษที่ 20 เป็นที่เชื่อกันว่าภาพเขียน “จูดิธตัดหัวโฮโลเฟอร์เนส” (Giuditta che decapita Oloferne) ที่เขียนระหว่างปี ค.ศ. 1612 ถึงปี ค.ศ. 1613 เป็นภาพเขียนที่แสดงความรุนแรง ซึ่งตีความหมายกันว่าเป็นภาพเขียนที่มาจากความรู้สึกในจิตใต้สำนึกของอาร์เทมิเซียเองที่ต้องการแก้แค้นในสิ่งที่เกิดขึ้น
หลังจากศาลตัดสินได้เดือนหนึ่งโอราซิโอก็จัดการให้ลูกสาวแต่งงานกับเปียร์อันโตนิโอ สเตียเทซิ (Pierantonio Stiattesi) ศิลปินชั้นรองจากฟลอเรนซ์ เพื่อเป็นการกู้ชื่อเสียง หลังจากนั้นไม่นานอาร์เทมิเซียและเปียร์อันโตนิโอก็ย้ายไปฟลอเรนซ์ซึ่งอาร์เทมิเซียได้รับสัญญาให้วาดภาพที่วังบวยนาร์โรติและกลายเป็นช่างเขึยนประจำราชสำนักผู้มีชื่อเสียงและได้รับการอุปถัมป์จาก
ตระกูลเมดิชิและพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 แห่งอังกฤษ เป็นที่เชื่อกันว่าช่วงเวลานี้อาร์เทมิเซียเขียนภาพ “พระแม่มารีและพระบุตร” ปัจจุบันตั้งแสดงอยู่ที่แกลเลอรีสปาดาที่กรุงโรม
ขณะที่พำนักอยู่ที่ฟลอเรนซ์อาร์เทมิเซียและเปียร์อันโตนิโอมีบุตรธิดาด้วยกันห้าคนผู้ชายสี่ผู้หญิงหนึ่ง แต่พรูเด็นเซียเป็นลูกสาวคนเดียวเท่านั้นที่มีชีวิตรอดมาจนโตและย้ายกลับโรมตามอาร์เทมิเซียเมื่อปี ค.ศ. 1621 และต่อมา
เนเปิลส์ หลังจากที่อาร์เทมิเซียเสียชีวิตก็ไม่มีใครทราบความเป็นไปของพรูเด็นเซีย

ผลงาน

JUDITH WITH THE HEAD OF HOLOFERNES

แรมบรังด์ (Rembrandt)

แรมบรังด์ (Rembrandt) เป็นจิตรกรและช่างพิมพ์ในประวัติ ศาสตร์ศิลปะยุโรปและเป็นจิตรกรที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาก ที่สุดรายหนึ่งของโลก
ผลงานของแรมบรังด์ทำให้
เนเธอร์แลนด์รุ่งเรืองสุด ขีดหรือที่เรียกว่ายุคทอง (Dutch golden age) ในช่วงศตวรรษที่ 17 และเป็นผู้มีอำนาจทั้งด้าน 1.อิทธิพลการเมือง 2.วิทยาศาสตร์ 3.พาณิชย์ และ 4.วัฒนธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเรื่องจิตรกรรม
เขาเป็นบุตรคนที่ 9 ของครอบครัวเจ้าของโรงงานและหุ้นส่วนโรงสีลมในเมืองไลเดน (Leiden) เนเธอร์แลนด์ พี่น้องของแรมบรังด์ถูกฝึกหัดเป็นเจ้าของโรงงาน, คนทำขนมปังหรือช่างทำรองเท้า แต่พ่อแม่ส่งลูกคนเล็กสุดของพวกเขาตอนอายุเจ็ดขวบไปที่โรงเรียนประถมมัธยม ศึกษาโปรเตสแตนท์ ที่ซึ่งเขาเรียนภาษาละติน เมื่อเขาอายุ 14 ปี แรมบรังด์ลงทะเบียนที่มหาวิทยาลัยมีชื่อเสียงของไลเดน แต่เขาแทบจะไม่เรียนมากเพราะว่าในขณะเดียวกันเขาขอให้พ่อแม่ของเขาฝึกหัดเขา ให้เป็นจิตรกร

ผลงาน

ANATOMY LESSON OF DR.TULP

The Return of the Prodigal Son


โยฮันส์ เวร์เมร์ (Johannes Vermeer)

โยฮันส์ เวร์เมร์ (Johannes Vermeer) เป็นจิตรกรชาวเนเธอร์แลนด์ มีผลงานในด้านศิลปะบาโรก มักวาดภาพที่แสดงถึงชีวิตประจำวันธรรมดาของคน เขาใช้ชีวิตอยู่ในเมืองเดลฟท์ และเป็นจิตรกรที่ประสบความสำเร็จพอสมควรในเมืองของเขา แต่ว่าไม่ได้ร่ำรวยเป็นพิเศษเพราะสร้างผลงานค่อนข้างน้อย ผลงานที่มีชื่อเสียงได้แก่ Girl with a Pearl Earring ซึ่งเป็นภาพที่รู้จักกันในชื่อ "Mona Lisa of the North"
เวร์เมร์ถูกลืมไปกว่าสองร้อยปี และกลับมามีชื่อเสียงอีกครั้งเมื่อนักวิจารณ์ศิลปะ Thoré Bürger เขียนบทความระบุภาพ 66 ภาพว่าเป็นของเขา (แต่มีเพียง 35 ภาพที่เป็นที่ยอมรับอย่างแน่นอนว่าเป็นของเขาในปัจจุบัน) ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาชื่อเสียงของเวร์เมร์ก็เริ่มโด่งดังขึ้น ได้รับการยกย่องว่าเป็นจิตรกรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งในสมัยยุคทองของดัชท์ และเป็นที่ยอมรับในเรื่องเทคนิคการใช้แสงในผลงานของเขา
โยฮันส์ เวร์เมร์ เกิดมาในครอบครัวชนชั้นกลางในเมืองเดลฟท์
ประเทศเนเธอร์แลนด์ และหลังจากนั้นไม่กี่วันเขารับศีลบัพติศมาเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 1632 ถึงแม้ว่าเวร์เมร์จะมาจากครอบครัวโปรเตสแตนต์ แต่เขากลับแต่งงานกับแคทรีนา โบลเนส ผู้ซึ่งนับถือนิกายโรมันคาทอลิก เขาทั้งสองย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านของแม่ยายซึ่งมีฐานะร่ำรวยกว่า เวร์เมร์อาศัยอยู่ที่นั่นตลอดชีวิต โดยวาดภาพในห้องด้านหน้าบนชั้นสอง ภรรยาของเขาให้กำเนิดบุตร 14 คน
ประวัติของเวร์เมร์นั้นค่อนข้างจะคลุมเครือ เขาเป็นผู้ที่ทุ่มเทให้กับศิลปะเท่านั้น ข้อมูลเกี่ยวกับชีวิตของเขานั้นมาจากการลงทะเบียน เอกสารทางการ และคำวิจารณ์จากศิลปินคนอื่น ๆ จึงทำให้ Thoré Bürger เรียกเขาว่า สฟิงซ์แห่งเมืองเดลฟท์



ผลงาน




ปีเตอร์ พอล รูเบนส์ (Peter Paul Rubens)

ปีเตอร์ พอล รูเบนส์ (Peter Paul Rubens) เป็นจิตรกรชาวเฟลมมิชที่มีชื่อ เสียงในคริสต์ศตวรรษที่ 17 มีผลงานในรูปแบบศิลปะบาโรก รูเบนส์เข้าโรงเรียนในนครอันทเวิร์ป และเรียนรู้ภาษาละตินและภาษากรีกด้วย ผู้เป็นมารดาต้องการให้เขาเป็นข้าราชสำนัก พอเขาอายุ 13 ปีเธอจึงส่งเขาไปเป็นมหาดเล็กในราชสำนักของเจ้าฟ้าหญิงใหญ่ ทรงพระนามว่า มาร์กือริต เดอ ลีนญ์ ชีวิตที่นี่ไม่มีอะไรน่าสนใจสำหรับหนูน้อยผู้นี้เลย (รูเบนส์พบว่า การเป็นเด็กมาหาดเล็กรับใช้ในราชสำนักช่างเป็นชีวิตที่น่าเบื่อเสียจริง ๆ) เพราะเขาพร้อมที่จะเริ่มแสดงสัญญาณแห่งอัจฉริยะทางการเขียนภาพให้ปรากฏอยู่ แล้ว
รูเบนส์ร้องขอให้มารดาพาเขาออกไปจากราชสำนัก และแล้วในปี พ.ศ. 2134 เขาถูกส่งตัวไปศึกษากับจิตรกรภาพทิวทัศน์นามว่า โทบิอาส แฟร์ฮาอิคต์ (Tobias Verhaecht) หลังจากนั้นอีก 6 เดือน เขาก็ได้ไปทำงานอยู่กับศิลปินอีกคนหนึ่ง คือ อาดัม ฟาน โนออร์ต และใช้เวลา 4 ปีอยู่ในห้องปฏิบัติงานศิลปะที่ค่อนข้างจะไม่เรียบร้อยของศิลปินผู้นี้ แต่ก็สนุกสนานมากเลยทีเดียว ครูคนที่ 3 ของเขาเคยเดินทางท่องเที่ยวมามาก และเป็นคนฉลาดหลักแหลมมากด้วยครูคนนี้มีนามว่า ออตโต ฟาน เฟเอน (Otto van Veen) ซึ่ง รูเบนส์ ก็ได้ทำงานในห้องปฏิบัติศิลปะของเขาเรื่อยมาจนกระทั่ง พ.ศ. 2143
แต่สำหรับพรสวรรค์ทางศิลปะที่ยิ่งใหญ่ของเขา แม้แต่อันทเวิร์ปซึ่งวันเหล่านั้นใหญ่กว่า
ลอนดอนหรือปารีสเล็กเกินไป เขาเริ่มเดินทางไปอิตาลี ตอนนี้เขาศึกษา, วาดและลอกทุกอย่างในศิลปะอิตาเลียนที่เขาสามารถเจอเป็นครั้งแรก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับทิเชียน
โรมพบเห็นการเกิดของบาโรคในฐานะเรอเนสซองซ์ครั้งที่สอง มันเป็นเวลาของสมเด็จพระสันตะปาปาปอลที่ 5 รูเบนส์อยู่ในโนโรมเกือบสี่ปี เขาศึกษางานของมีเกลันเจโลในชาเปลซิสติน การศึกษากับราฟาเอลของเขาละเอียดไม่น้อยกว่ากัน รูเบนส์จากโรมในพ.ศ. 2151 และกลับไปอันทเวิร์ป ทันทีทันใดหลังการกลับของเขา เขาวาดการชื่นชมของแมไจสำหรับศาลากลางอันทเวิร์ป
ชีวิตของรูเบนส์น่าทึ่งและโลดแล่นอย่างมีพลังคล้ายองค์ประกอบภาพของเขา ในฤดูร้อนของพ.ศ. 2152 เขาแต่งงานกับอิซาเบลลา แบรนท์ (Isabella Brant) ลูกสาวของผู้สูงศักดิ์อันทเวิร์ป และไม่นานเขาย้ายไปในบ้านหลังใหญ่ซึ่งในหลายปีต่อมาเขาขยายเป็นบางอย่างที่ คล้ายพระราชวังด้วยห้องทำงานขนาดใหญ่ รูเบนส์ได้รับการแต่งตั้งเป็นจิตรกรในราชสำนักของอาร์คดยุคอัลเบรชท์ ข้าหลวงสเปน แต่เขาได้รับระยะเวลาในสัญญาที่ให้เขาอยู่และทำงานในอันทเวิร์ปมากกว่าที่ นั่งของรัฐบาลใน
บรัสเซลส์ หลังจากนั้นพ่อของเขาเป็นนายกเทศมนตรีอันทเวิร์ป เมืองที่ร่ำรวยสุดในยุโรป

ผลงาน

Fall Of Phaeton

RAPE OF THE DAUGHTEROF LEUCIPPUS

The Three Graces



นิโคลาส์ ปูแซน (Nicolas Poussin)

นิโคลาส์ ปูแซน (Nicolas Poussin) เป็นจิตรกรชาวฝรั่งเศสในคริสต์ศตวรรษที่ 17 ผู้มีความเชี่ยวชาญทางการเขียนจิตรกรรมสีน้ำมัน
ปูแซนเกิดเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน ค.ศ. 1594 ที่เมืองเลส์ซอนเดอลีสในนอร์มังดีในประเทศฝรั่งเศส และเสียชีวิตเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน ค.ศ. 1665 ลักษณะการเขียนเป็นแบบคลาสสิคซิสม์ งานของปูแซนเจะชัดเจน มีเหตุผลและมีระเบียบและนิยมเส้นมากกว่าสี ปูแซนมีอิทธิพลต่อจิตรกรที่มีลักษณะเขียนไปทางคลาสสิคซิสม์มาจนถึงคริสต์ ศตวรรษที่ 20 เช่นฌาคส์ หลุยส์ เดวิด (Jacques-Louis David) และพอล เซซานน์
ปูแซนใช้เวลาส่วนใหญ่ในช่วงทำงานเขียนในกรุงโรม นอกจากช่วงที่คาร์ดินัลรีชลีเยอ (Cardinal Richelieu) เรียกตัวกลับมาฝรั่งเศสเพื่อมาเป็นเป็นจิตรกรเอกประจำราชสำนักพระเจ้าแผ่น ดินฝรั่งเศส


ผลงาน

RAPE OF THE SABINES

เดียโก เบลัซเกซ (Diego Velázquez)

เดียโก เบลัซเกซ (Diego Velázquez) ชื่อเต็ม: Diego Rodríguez de Silva y Velázquez, 6 มิถุนายน พ.ศ. 2142 - 6 สิงหาคม พ.ศ. 2203 เป็นจิตรกรชาวสเปน มีผลงานที่มีชื่อเสียง เช่น Las Meninas, La Venus del espejo และ La Rendición de Breda

ผลงาน



The Maid of Honour

มีเกลันเจโล เมรีซี ดา คาราวัจโจ (Michelangelo Merisi da Caravaggio)

มีเกลันเจโล เมรีซี ดา คาราวัจโจ (อิตาลี: Michelangelo Merisi da Caravaggio ค.ศ. 1571 - 18 กรกฎาคม ค.ศ. 1610) เป็นจิตรกรสมัยบาโรกคนสำค้ญของประเทศอิตาลีในคริสต์ศตวรรษที่ 17 มีความสำคัญในการเขียนภาพสีน้ำมัน ผู้มีผลงานส่วนใหญ่ที่ โรม เนเปิลส์ ซิซิลี และประเทศมอลตา ระหว่างปี ค.ศ. 1593 ถึงปี ค.ศ. 1610
แม้แต่เมื่อ คาราวัจโจ ยังมีชีวิตอยู่ก็มีได้ชื่อว่าเป็นผู้ยากที่จะเข้าใจได้ (enigmatic) น่าทึ่ง ไม่ยอมอยู่ในระบบ และออกจะอันตราย ตั้งแต่เริ่มทำงานเมื่อปี ค.ศ. 1600 คาราวัจโจก็มีคนจ้างตลอดแต่การรักษาสัญญาของคาราวัจโจก็ออกจะมีปัญหา ซึ่งจะเห็นได้จากใบประกาศที่พิมพ์เมื่อปี ค.ศ. 1604 ที่บรรยายวิถีชีวิตของคาราวัจโจสามปีก่อนหน้านั้นว่า หลังจากทำงานได้สองอาทิตย์ก็เที่ยวลอยชายถือดาบโดยมีคนรับใช้ติดตามสักเดือนสองเดีอน พร้อมจะหาเรื่องทะเลาะหรือต่อสู้ จึงเป็นการยากที่จะเข้ากับคาราวัจโจได้ เมื่อปี ค.ศ. 1606 คาราวัจโจฆ่าชายหนุ่มหลังจากทะเลาะกันจนต้องหนีไปโรมเพราะมีค่าหัว เมื่ออยู่ที่มาลตาเมื่อปี ค.ศ. 1608 คาราวัจโจก็ไปมีเรื่อง และเมื่อไปอยู่ที่เนเปิลส์เมื่อปี ค.ศ. 1609 ว่ากันว่ามีคนพยายามฆ่าคาราวัจโจโดยศัตรูที่เราไม่รู้ ต่อมาอึกปีหนึ่งหลังจากเขียนภาพได้เพียงสิบปีกว่าๆ คาราวัจโจก็เสียชีวิต
ในกรุงโรมระหว่างปลายคริสต์ศตวรรษที่ 16 ถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 มีการสร้างทั้งวัดและวังขนาดใหญ่ๆ กันขนานใหญ่ เมื่อมีสิ่งก่อสร้างใหม่ๆ ก็มีความต้องการภาพเขียนเพื่อใช้ตกแต่งสิ่งก่อสร้างเหล่านี้ วัดที่สร้างที่เป็นผลจาก
การปฏิรูปศาสนาของนิกายโรมันคาทอลิกก็มีความต้องการภาพเขียนทางศาสนาเพื่อจะตอบโต้อิทธิจากการปฏิรูปศาสนาของนิกายโปรเตสแตนต์ และงานเขียนภาพแบบแมนเนอริสม์ ที่มีอิทธิพลมาร่วมร้อยปีก็ไม่เป็นการเพียงพอต่อการแสดงออกที่ต้องการ ลักษณะงานของคาราวัจโจที่ต่างจากงานรุ่นก่อนโดยใช้ความเป็นธรรมชาติ (Naturalism) ผสมกับความเป็นนาฏกรรมที่เห็นได้จากการใช้แสงเงาที่ตัดกันอย่างชัดเจน (chiaroscuro)
คาราวัจโจมึชื่อเสียงและมีอิทธิพลสำคัญในระหว่างที่มีชีวิตอยู่แต่ก็ลืมกันไปจนกระทั่งคริสต์ศตวรรษที่ 20 เมื่องานของคาราวัจโจมาเป็นที่ยอมรับกันว่าเป็นงานที่มีความสำคัญต่อการวิว้ฒนาการทางศิลปะตะวันตก งานของคาราวัจโจมีความสำคัญอย่างลึกซึ้งต่อลักษณะแบบบาโรกที่รุ่งเรืองขึ้นมาจากศิลปะแมนเนอริสม์ อันเดร เบิร์น-จอฟฟรอย (Andre Berne-Joffroy) ผู้เป็นเลขานุการของพอล วาเลรี (Paul Valéry) กล่าวกับ เบิร์น-จอฟฟรอยว่า ภาพเขียนของคาราวัจโจพูดง่ายๆ ก็คือภาพเขียนสมัยใหม่นี่เอง


ผลงาน


The Calling of St.Matthew



Amor Vincit Omnia





ลักษณะโดดเด่นของศิลปะบาโรก

ลักษณะเด่นของศิลปะบาโรก

- มักจะแสดงอารมณ์ความรู้สึกโลดแล่นราวกับคนจริง
- แสดงความโลดแล่นของลีลาท่าทางมากกว่าการสื่อเพียงความงาม
- แสดงเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายอย่างหรูหรา
- การวาดภาพผสมกลมกลืนกับการระบายสี
- ใช้แสงอย่างนาฎกรรมถ้าไม่เป็นแงที่ตัดเงากันก็จะเป็นแสงเสมอกัน

ศิลปะ บาโรก (Baroque)

ศิลปะบาโรก (Baroque) เป็นยุคสมัยหนึ่งของวัฒนธรรมตะวันตกซึ่งเริ่มประมาณต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 ในช่วง 1550 - 1750 ที่กรุงโรม ประเทศอิตาลี แล้วกระจายไปยังทั่วทั้งแหลมอิตาลี และขยายไปยังประเทศต่างๆในยุโรป เจริญสูงสุดในช่วง 1680 -1730 บาโรกจะเน้นความเป็นนาฏกรรม ศิลปะจะแสดงความขัดแย้ง และความหรูหรา โอ่อ่า บาโรกเป็นลักษณะของ ประติมากรรม, จิตรกรรม, วรรณกรรม, นาฏศิลป์, และ ดนตรี

บาโรก (Baroque)มีความหมายถึง มุกที่บิดเบี้ยว มีความหมาย ถึง ลักษณะที่ผิดเพี้ยนไปจากระเบียบกฏเกณฑ์ที่เคยปฏิบัติ ความรุ่งเรืองของศิลปะแบบบาโรกได้รับการส่งเสริมจากสถาบันสถาบันคาทอลิก ระหว่างการประชุม สังคายนาเมืองเทรนต์ เมื่อปีค.ศ. 1545-1563 ประเด็นหนึ่งที่มีการถกเถียงกันที่นั่นก็คือเรื่องความหมายและความสัมพันธ์ ระหว่างศิลปะและศาสนา ทางที่ประชุมตกลงกันว่าศิลปะควรจะสิ่งที่สื่อสารเรื่องศาสนาโดยใช้วิธีจูงใจ และสะเทือนอารมณ์ผู้ดูโดยตรง ในขณะเดียวกันชนชั้นสูง (Aristocracy) สมัยนั้นก็เห็นว่าแบบบาโรกเป็นศิลปะที่สร้างความประทับใจให้กับผู้ดู เป็นศิลปะที่แสดงความถึงความมีอำนาจของเจ้าของ

คำว่าบาโรกสันนิษฐานกันว่ามาจากคำว่า barroco ภาษาโปรตุเกสโบราณซึ่งหมายถึงหอยมุกที่มีรูปร่าง อ่อนไหวม้วนไปมา แต่ที่มาในภาษาอังกฤษไม่ทราบแน่ว่ามาจากภาษาใดหรือจะมาจากแหล่งอื่น คำว่า บาโรก เองนอกจากจะหมายถึงศิลปะที่รุ่งเรืองระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 17 ถึง คริสต์ศตวรรษที่ 18 แล้วก็ยังหมายถึงความโอ่อ่าที่เต็มไปด้วยรายละเอียด บางครั้งคำนี้อาจจะพูดถึงศิลปะที่มีการตกแต่งจนค่อนข้างจะไปทางอลังการ

ศิลปะแบบบาโรกเริ่มมีความนิยมเมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 มีอิทธิพลเริ่มมาจากผลงานของ คาราวัจโจ และ พี่น้องคารัคชี ทั้งสองกลุ่มนี้ทำงานอยู่ที่กรุงโรมในระยะนั้นศิลปะแบบบาโรกแยกตัวจากศิลปะแบบแมนเนอริสม์ของสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 16 ซึ่งเน้นการประเทืองปัญญา มาเป็นศิลปะที่เน้นทางอารมณ์และความรู้สึก และทางนาฏกรรม (dramatic presentation) จุดมุ่งหมายคือทำให้ผู้ดูเข้าใจศิลปะได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องตีความหมายที่ ศิลปินแอบแฝงเอาไว้ นอกจากนั้นเข้าใจแล้วยังเกิดความสะเทือนอารมณ์ เนื้อหาของศิลปะแบบบาโรกมักจะเอามาจากเรื่องของวีระชนต่างๆ เช่น ประวัติพระเยซู หรือนักบุญต่างๆ อย่างเช่นผลงานของอันนิบาเล คารัคชี และศิลปินในกลุ่มเดียวกัน คารัคชีซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจาก คาราวัจโจ และ เฟเดอริโก บารอคคิ สองคนหลังนี้ถือว่าอยู่ในกลุ่มโปรโตบาโรก (proto-Baroque) ศิลปินอีก 2 คนที่ถือกันว่ามีอิทธิพลต่อการวิวัฒนาการของศิลปะแบบบาโรกคือ ไมเคิล แอนเจโล และ คอร์เรจจิโอ ด้วย